การอ่านค่าตัวเก็บประจุและการแปลงหน่วยคาปาซิเตอร์เทียบค่าฟารัด ไมโครฟารัด นาโนฟารัด

ตัวเก็บประจุเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พื้นฐานที่ใช้เป็นจำนวนมากในวงจรอิเล็กทรอนิกส์   ถ้าอ่านค่าความจุได้คล่องจะเป็นเรื่องดี  หรืออย่างน้อยที่สุดก็ทำความรู้จักวิธีการอ่านค่าความจุไว้เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้ข้อมูลก็กลับมาทบทวนได้    บทความนี้ได้รวบรวมวิธีการอ่่านค่าตัวเก็บประจุพร้อมกับการแปลงหน่วยไว้ เพราะบางครั้งพบว่ามีการเขียนหน่วยต่างกันแต่จริงๆแล้ว C  มีค่าเท่ากัน  


การอ่านค่าตัวเก็บประจุ
ค่าต่างๆของตัวเก็บประจุจะพิมพ์ไว้ที่ตัว  C  มีค่าความจุ   ค่า  ± %   คลาดเคลื่อน และ   ค่าทนแรงดันไฟฟ้า  ค่าอุณหภูมิที่ทดสอบ    เป็นต้น  เพื่อให้ง่ายในการเข้าใจ จะแบ่งวิธีการอ่านค่าตัวเก็บประจุเป็นข้อๆ ดังนี้

1.  ระบุค่าความจุและหน่วยตรงๆ
2.  ระบุค่าความจุแต่ไม่ระบุหน่วย
3.  ระบุค่าความจุเป็นรหัสตัวเลข

1.  ระบุค่าความจุและหน่วยตรงๆ     ตัวอย่าง
     รูปแรก  C   ค่า  4uF   มี  %  คลาดเคลื่อน  +10%   -5%   ทนแรงดันได้  450VAC


อ่านค่าตัวเก็บประจุ  4UF  capacitor  ຕົວເກັບປະຈຸ
    C   ไม่มีขั้ว   ค่าความจุ   4uF   450VAC

    
คาปาซิเตอร์  Capacitor  ຕົວເກັບປະຈຸ  កុងដង់  kapasitor   tụ điện

    C มีขั้ว  ค่าความจุ  4700uF    100VDC


2.  ระบุค่าความจุแต่ไม่ระบุหน่วย  ใช้กับ C ไม่มีขั้วและค่าความจุไม่สูง  จะระบุค่าพร้อมกับ  ±%  คลาดเคลื่อน

ระบุค่าน้อยกว่า 1  เช่น   0.1   0.047   0.47   0.022   มีหน่วยเป็น uF (ไมโครฟารัด)
ระบุค่า   1 ขึ้นไป   เช่น   1    10    100   มีหน่วยเป็น pF (พิโกฟารัด )

อักษรที่ใช้บอกค่า  ± %  คลาดเคลื่อน
J    หมายถึงมีความคลาดเคลื่อน    ±5%
K   หมายถึงมีความคลาดเคลื่อน    ±10%
L   หมายถึงมีความคลาดเคลื่อน    ±15%
M  หมายถึงมีความคลาดเคลื่อน    ±20%


Capactor  កុងដង់  kapasitor   tụ điện
    0.022J   =  ค่าความจุ   0.022uF   ±5%     C   ไม่มีขั้ว
    3300J    =  ค่าความจุ   3300pF    ±5%     C   ไม่มีขั้ว



3   ระบุค่าความจุเป็นรหัสตัวเลข  มักใช้กับตัวเก็บประจุค่าไม่สูงและเป็นตัวเก็บประจุชนิดไม่มีขั้ว  ยกเว้นรหัส  100  หมายถึง 100pF ไม่ต้องแปลงค่า ( เข้าหลักข้อ 2  ตัวเลขที่ 3 เป็น 0 )
    
รหัส 222  มีวิธีหาค่าดังนี้  
ตัวเลขที่ 1  และ 2 เป็นตัวตั้ง  ตัวเลขที่ 3  เป็นตัวคูณ  หรือจำนวนเลข 0   ค่าที่ได้มีหน่วยเป็น pF

    222  =    22  x   x102     =  22x100    =  2200pF   แปลงเป็นหน่วย nF   =  2.2nF


Capacitor  កុងដង់  kapasitor   tụ điện
    C   ไม่มีขั้ว ค่าความจุ    2200pF



รหัส  684K    มีวิธีหาค่าดังนี้  
ตัวเลขที่ 1  และ  2 เป็นตัวตั้ง  ตัวเลขที่ 3 เป็นตัวคูณ หรือจำนวนเลข 0  ค่าที่ได้มีหน่วยเป็น pF

    684  =     68  x   x104    =  68x10000  =  680000pF   K   =  ±10%   
    แปลง  680000pF   เป็นหน่วย n F   = 680nF    แปลงเป็นหน่วย   uF   =  0.680uF

Capacitor  កុងដង់  kapasitor   tụ điện
    C   ไม่มีขั้ว ค่าความจุ     680nF   ±10%  (ตัวใหญ่)


บรรทัดแรกเป็นรหัสค่า Code  ค่าพิโกฟารัด ( pF)      ค่านาโนฟารัด ( nF)  และ ค่าไมโครฟารัด (uF) 
Code   พิโกฟารัด ( pF)      นาโนฟารัด ( nF)   และ ไมโครฟารัด (uF)  เรียงเป็นลำดับ

100  =  10pF           =  0.01nF      =  0.00001uF  
150  =  15pF           = 0.015nF     =  0.000015uF
220  =  22pF           = 0.022nF     =  0.000022uF
330  =   33pF          = 0.033nF     =   0.000033uF
470  =   47pF          = 0.047nF    =   0.000047uF
101  =   100pF        = 0.1nF        =   0.0001uF
121  =  120pF         =  0.12nF     =   0.00012uF
131  =   130pF        = 0.13nF      =   0.00013uF
151  =   150pF         =0.15nF      =   0.00015uF
181  =   180pF         = 0.18nF     =   0.00018uF
221  =   220pF         =0.22nF       =  0.00022uF
331  =   330pF         =0.33nF       =  0.00033uF
471  =   470pF         = 0.47nF      =  0.00047uF
561  =   560pF         =  0.56nF     =  0.00056uF
681  =   680pF         =  0.68nF    =   0.00068uF
751  =   750pF         =  0.75nF     =  0.00075uF
821  =   820pF         =  0.82nF    =   0.00082uF
102  =   1000pF       =  1.0nF       =  0.001uF
152  =   1500pF       =  1.5nF       =  0.0015uF
202  =   2000pF       =  2.0nF       =  0.002uF
222  =   2200pF        =  2.2nF      =  0.0022uF
332  =   3300pF        =  3.3nF      =  0.0033uF
472  =   4700pF        =  4.7nF      =  0.0047uF
502  =   5000pF        =  5.0nF      =  0.005uF
562  =   5600pF        =  5.6nF      =  0.0056uF
682  =   6800pF        =  6.8nF     =   0.0068uF
103  =   10000pF      =  10nF       =  0.01uF
153  =   15000pF      =  15nF       =  0.015uF
223  =   22000pF      =  22nF       =  0.022uF
333  =   33000pF       =  33nF      =  0.033uF
473  =   47000pF       =  47nF      =  0.047uF
683  =   68000pF       =  68nF      =  0.068uF
104  =   100000pF     = 100nF     =  0.1uF
154  =   150000pF     =  150nF    =  0.15uF
204  =    200000pF    =  200nF    =  0.2uF
224  =    220000pF    =  220nF    =  0.22uF
334  =    330000pF    =  330nF    =  0.33uF
474  =   470000pF     =  470nF    =  0.47uF
684  =    680000pF    = 680nF     =   0.68uF
105  =   1000000pF   =  1000nF   =  1.0uF
155  =   1500000pF   =  1500nF   =  1.5uF
205  =   2000000pF   = 2000nF    =  2.0uF
225  =   2200000pF   =  2200nF   =  2.2uF
335  =   3300000pF   = 3300nF    =  3.3uF



หน่วยของตัวเก็บประจุ
ตัวเก็บประจุมีหน่วยเป็นฟารัด ภาษาอังกฤษคือ Farads ใช้อักษรย่อ F  หน่วยจริงๆของตัวเก็บประจุคือคูลอมป์ / โวลต์  มาจากสูตร  C  =  Q / V   เพื่อเป็นเกียรติแก่นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษไมเคิล ฟาราเดย์ ( Michael Faraday ) จึงให้หน่วยของตัวเก็บประจุเป็นฟารัด ตัวเก็บประจุที่ใช้งานจริงๆในวงจรอิเล็กทรอนิกส์จะมีค่าที่น้อยมาก เช่น พิโกฟารัด ( pico Farad )  นาโนฟารัด ( nano Farad ) และ  ไมโครฟารัด ( micro Farad ) โดยมีความสัมพันธ์และสัญลักษณ์ตามด้านล่างนี้   ตัวเก็บประจุค่าความจุระดับฟารัดก็มีใช้งานจะเป็น   Super Capacitor  


Super  Capacitor  1F    Capacitor  កុងដង់  kapasitor   tụ điện
    รูป  Super  Capacitor   ค่าความจุ   1.00F     C  มีขั้ว


Super  Capacitor   0.010F  0.22F   Capacitor  កុងដង់  kapasitor   tụ điện
    รูป  Super  Capacitor  ค่าความจุ  0.010F และ  0.22F   C  มีขั้ว


1 ฟารัด (F)   =               1,000,000    ไมโครฟารัด ( μF )    =     1x106   μF
1 ฟารัด (F)   =         1,000,000,000   นาโนฟารัด   ( nF )    =     1x109    nF
1 ฟารัด (F)   =  1,000,000,000,000   พิโกฟารัด    ( pF)     =      1x1012   pF
และ

1  ไมโครฟารัด( μF )  =   0.000 001  F                   =    1 x10−6    F
1  นาโนฟารัด   ( nF )  =  0.000 000 001  F            =    1 x10−9    F
1  นาโนฟารัด   ( pF )  =  0.000 000 000 001  F     =    1 x10−12   F
และ  

1  μF   =   1x10-6      =    1 x103     nF     =    1 x106      pF
1  nF   =   1x10-9        =    1x10−3    μF     =    1 x103       pF
1  pF   =   1x10-12      =    1 x10−6   μF     =    1 x10-3     pF

สัญลักษณ์หน่วยของตัวเก็บประจุที่พบมีดังนี้  อาจพบได้หลายแบบขึ้นอยู่กับผู้ผลิตคาปาซิเตอร์

ไมโครฟารัด  ใช้สัญลักษณ์   μF      uF       u      MF    MFD
 พิโกฟารัด    ใช้สัญลักษณ์    pF      p        P        PF
 นาโนฟารัด   ใช้สัญลักษณ์   nF      n


การแปลงหน่วยคาปาซิเตอร์
การแปลงหน่วยให้ใช้สูตรด้านล่างและจำเป็นต้องรู้จักคำอุปสรรคต่อไปนี้และรวมถึงมีพื้นฐานการคูณและการหารเลขฐาน 10 ยกกำลัง    ( ซึ่งไม่ได้อธิบายในที่นี้สามารถค้นข้อมูลได้วิชาคณิตเรื่องเลขยกกำลัง ) คำอุปสรรคที่นิยมใช้กับคาปาซิเตอร์

มิลลิ      =   10−3
ไมโคร   =   10−6     
นาโน     =   10−9 
พิโก      =   10−12



ตัวอย่างที่ 1   คาปาซิเตอร์ค่า  2000nF  เป็นกี่   uF   ?
หน่วยเดิมคือ    nF  =   10−9       หน่วยใหม่คือ   uF =   10−6

=    2000  x  ( 10−9  /10−6  )    =   2000  x  10-3   
=    2000 x  0.001  =   2uF 
ตอบ   2000nF  =   2uF 


ตัวอย่างที่  2   คาปาซิเตอร์ค่า  0.1uF   เป็นกี่   nF   ?
หน่วยเดิมคือ uF =   10−6    หน่วยใหม่คือ  nF  =   10−9 

=   0.1 x  ( 10−6  /10−9  )    =  0.1  x  103   
=   0.1 x  1000   =   100nF 
ตอบ   0.1uF       =   100   nF  


ตัวอย่างที่  3   คาปาซิเตอร์ค่า  10000pF   เป็นกี่   nF   ?
หน่วยเดิมคือ pF =   10−12     หน่วยใหม่คือ  nF  =   10−9 

=    10000 x  ( 10−12  / 10−9  )    =  0.1  x  10-3   
=    10000 x  0.001   =   10nF 
      ตอบ  10000pF    =   10 nF  


คาปาซิเตอร์  Capacitor  ຕົວເກັບປະຈຸ   Capacitor  កុងដង់  kapasitor   tụ điện
    รูป  Capacitor ค่าความจุสูงมาก  100F    2.5V      C  มีขั้ว


Capacitor  កុងដង់  kapasitor   tụ điện

     รูป Capacitor ค่าความจุสูงมาก   50F     2.5V     C  มีขั้ว





>>>>>>> อ่านต่อ


วัด  C   ด้วยมัลติมิเตอร์แบบเข็ม

วัดคาปาซิเตอร์ด้วยมัลติมิเตอร์แบบดิจิตอล

การอ่านค่า R SMD  โวลุ่ม TRIMMER และรหัสตัวเลข R

อ่านค่า R  4 แถบสี และ 5 แถบสี

วัดไดโอด ด้วยมิเตอร์แบบเข็ม

วัดไดโอด ด้วยมิเตอร์ดิจิตอล

วัดไดโอด  SMD  

วัดไดโอดบริดจ์ 

วัด LED หรือไดโอดเปล่งแสง

วัดฟิวส์

วัดทรานซิสเตอร์   ด้วยมัลติมิเตอร์ดิจิตอล

วัดทรานซิสเตอร์   ด้วยมัลติมิเตอร์แบบเข็ม

วัดทรานซิสเตอร์จานบิน และทรานซิสเตอร์ SMD

วัดทรานซิสเตอร์รั่ว

วัด SCR และหาขาเอสซีอาร์


เรียนอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์และฟรี เรื่อง การวัดกระแสด้วยมัลติมิเตอร์ดิจิตอล uA mA A

เรียนอิเล็กทรอนิกส์ออนไลน์และเรียนรู้ด้วยตนเอง  หัวข้อต่างๆจะอยู่ด้านล่างสุด  ตอนนี้เป็นเรื่อง :    การใช้มัลติมิเตอร์ดิจิตอลวัดกระแสไฟตรง   มีรายละเอียดและขั้นตอน 1-2-3  ให้อ่านข้อมูลต่อไปนี้ให้จบซึ่งได้เรียบเรียงข้อมูลให้เป็นขั้นตอนสำหรับศึกษา   ประเด็นสำคัญข้อแรกที่ต้องรู้ก่อนวัดคือความสามารถและลิมิตของมัลติมิเตอร์ในการวัดกระแส  ยกตัวอย่างมัลติมิเตอร์  UNI-T   รุ่น  UT33A+    มี 3 ย่านวัดกระแส  ต้องเลือกย่านวัดให้เหมาะกับค่าที่จะวัดคือ   ย่านวัด  uA  วัดได้  0 -  2000uA    ,  ย่านวัด  mA  วัดได้ 0-200mA  , ย่านวัด 10A  ใช้วัดกระแสระดับ A   มิเตอร์ตัวนี้จะวัดกระแสได้สูงสุด 10A  ดังนั้นจีงห้ามใช้วัดกระแสที่สูงกว่า 10A    ประเด็นสำคัญข้อที่ 2 คือการเสียบสายวัด  การวัดกระแส DC  ระดับ uA และ mA  สายวัดสีแดงให้เสียบที่ช่อง VΩmAuA   ส่วนการวัดกระแสตรงระดับ A ให้เสียบสายสีแดงที่ช่อง 10A    ประเด็นสำคัญข้อสุดท้ายไฟฟ้ากระแสตรงมีขั้ว + -   การต่อสายวัดต้องคำนึงถึงขั้ว + -  ด้วย      การวัดกระแสไฟฟ้านั้นมีอันตราย   ถ้าเป็นมือใหม่ควรศึกษาไว้ก่อนแต่ไม่ควรด่วนวัดกระแสไฟฟ้าเลยและไม่ควรวัดกระแสไฟฟ้าตามลำพัง  ควรทำการวัดอยู่ภายใต้การดูแลของผู้มีประสบการณ์ในการใช้งานมัลติเตอร์  ผู้วัดต้องมีความรู้พื้นฐานเรื่องวงจรไฟฟ้าเบื้องต้นและการใช้งานมัลติเตอร์ระดับหนึ่งแล้ว



การใช้งานมัลติมิเตอร์  วัดกระแสไฟฟ้า
   การเสียบสายวัดและการเลือกย่านวัดกระแส DC  เช็คให้แน่ใจว่าได้เสียบและปรับถูกต้องแล้ว


ทำความเข้าใจการต่อสายวัดก่อนวัดกระแสไฟฟ้า DC 

การวัดกระแสต้องต่อแบบอนุกรมแล้วการต่อแบบอนุกรมคือต่ออย่างไร  ?   การต่อแบบอนุกรมคือต่อให้เป็นเส้นเดียวกัน ยกตัวอย่างต้องการวัดกระแสไฟ DC ที่จุดผ่าน    A   ต้องตัดไฟออกจากวงจรก่อน( ปิดสวิตช์) จากนั้นคำนวณหรือหาข้อมูลปริมาณกระแสที่ผ่านจุด A  จากนั้นต่อสายวัดแบบอนุกรมตามรูปโดยการต่อต้องคำนึงถึงขั้ว + -   จะสังเกตว่ามิเตอร์จะเป็นส่วนหนึ่งของวงจรที่ทำการวัดและเป็นเส้นเดียวกัน





แสดงวงจรง่าย ๆ  เพื่อใช้ทำความเข้าใจการวัดกระแสไฟ DC


ขั้นตอนการวัดกระแสไฟ DC ด้วยมัลติมิเตอร์แบบดิจิตอล

1.  คำนวณหรือหาข้อมูลปริมาณกระแสที่จะวัด ห้ามใช้มิเตอร์วัดกระแสที่เกิดลิมิตสเปคของมิเตอร์  ยกตัวอย่างวงจรด้านล่างคำนวณตามกฏของโอห์ม  V =  IR    ,  กระแส  I  =  9/150 =  60mA  จากข้อมูลนี้ทำให้รู้ว่าย่านวัดที่เหมาะสมคือ   mA

2. ตัดไฟออกจากวงจร ( เปิดสวิตช์ )  และตัดวงจรจุดที่จะวัดกระแส  จากนั้นจึงทำการต่อสายวัดแบบอนุกรม

3. เสียบสายวัดให้ถูกต้อง จากข้อมูลในข้อ 1 กระแสที่จะวัดมีค่า 60mA  จึงเสียบสายวัดสีแดงที่ช่อง  VΩmAuA  และสายวัดสีดำเสียบที่ช่อง  COM

4. ปรับย่านวัดไปที่ mA เนื่องจากกระแสที่จะวัดอยู่ในช่วง mA


   คำนวณหรือหาข้อมูลปริมาณกระแสที่จะวัดโดยใช้กฏของโอห์ม  V =  IR


การใช้งานมัลติมิเตอร์  วัดกระแสไฟฟ้า

    

การใช้งานมัลติมิเตอร์
   ต่อสายวัดให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นจึงเปิดสวิตช์เพื่อจ่ายไฟเข้าวงจร   ไฟ DC ต้องต่อสายให้ถูกขั้ว


การวัดกระแสในงานซ่อมบำรุงระบบไฟฟ้านิยมใช้แคล้มป์มิเตอร์ (Clamp Meter) เพราะใช้งานง่ายและปลอดภัยกว่าไม่ต้องตัดวงจรและไม่ต้องตัดไฟจุดที่ต้องการจะวัดกระแส  เพียงใช้แคล้มป์มิเตอร์คล้องสายเส้นที่ต้องการวัดก็จะทราบปริมาณกระแสได้ทันที  ที่สำคัญ แคล้มป์มิเตอร์สามารถวัดกระแสได้สูง เช่น  UNI-T   รุ่น  UT210E  วัดได้สูงสุด 100A AC และ 100A DC    วัดได้ทั้งกระแสไฟ DC และ  AC  แคล้มป์มิเตอร์นี้ยังใช้งาานเป็นมัลติมิเตอร์ได้ด้วยเพราะมีย่านวัดอื่นๆเหมือนมัลติมิเตอร์ เช่นวัด   V   I    R  Diode   Hz   เป็นต้น

 

แคล้มป์มิเตอร์  Clamp Meter  UNI-T    UT210E
    แคล้มป์มิเตอร์ (Clamp Meter)   UNI-T   รุ่น  UT210E   ใช้วัดกระแสไฟฟ้าได้อย่างง่ายๆ 


แคล้มป์มิเตอร์  Clamp Meter  UNI-T    UT210E
   วัดกระแสไฟได้ง่ายๆและปลอดภัยกว่าด้วยแคล้มป์มิเตอร์  เพียงคล้องสายเส้นที่ต้องการวัดกระแส โดยไม่ต้องทำการตัดวงจร


เรียนอิเล็กทรอนิกส์ฟรี  .... เรียนรู้ด้วยตนเอง
หัวข้อต่างๆ  มีดังนี้  : 


การอ่านค่า R SMD    โวลุ่ม   TRIMMER และ รหัสตัวเลขค่า  R
วัด  เช็ค R ดีเสีย ด้วยมัลติมิเตอร์ดิจิตอล  

 วัด  R  ด้วยมัลติมิเตอร์แบบเข็ม(โอห์มมิเตอร์)

การอ่านค่าตัวเก็บประจุ  และ   การแปลงหน่วยคาปาซิเตอร์    

วัดไดโอด ด้วยมิเตอร์แบบเข็ม

วัดไดโอด ด้วยมิเตอร์ดิจิตอล

วัดไดโอด  SMD  

วัดไดโอดบริดจ์ 

วัด LED หรือไดโอดเปล่งแสง

วัดฟิวส์

วัดทรานซิสเตอร์   ด้วยมัลติมิเตอร์ดิจิตอล

วัดทรานซิสเตอร์   ด้วยมัลติมิเตอร์แบบเข็ม

วัดทรานซิสเตอร์จานบิน และทรานซิสเตอร์ SMD

วัดทรานซิสเตอร์รั่ว

วัด SCR และหาขาเอสซีอาร์

การใช้มิเตอร์ดิจิตอลวัดไฟฟ้ากระแสสลับ วัดแรงดันไฟ AC และการวัดไฟบ้าน

สาธิตการเลือกย่านวัดมัลมิเตอร์ดิจิตอลเพื่อวัดไฟ AC และวัดไฟบ้านเป็นตัวอย่าง  ไฟตามบ้านในประเทศไทยกี่โวลต์ คำตอบคือ  แรงดัน 220 โวลต์  ความถี่ 50 เฮิรตซ์ ( 220Vac  50Hz)  รู้จักมัลติมิเตอร์ดิจิตอลที่นิยมใช้มี 2 แบบใหญ่ๆ คือ   1) มัลติมิเตอร์ดิจิตอลราคาหลายร้อยมีฟังก์ชั่น Auto Range มันจะปรับย่านวัดให้อัตโนมัติเพื่อให้เหมาะกับค่าที่กำลังวัดอยู่  แบบนี้ใช้งานง่าย     และ  2)  มัลติมิเตอร์ดิจิตอลราคาถูกซึ่งไม่มี ฟังก์ชั่น Auto Range ต้องปรับย่านวัดให้เหมาะกับค่าที่กำลังวัดเอง   ถ้าเป็นช่างและต้องการใช้งานง่ายๆ  แนะนำให้ซื้อแบบที่ 1 มีฟังก์ชั่น   Auto Range


การใช้งานมัลติเตอร์
    มัลติมิเตอร์ดิจิตอลราคาหลายร้อยมีฟังก์ชั่น Auto Range ปรับย่านวัดให้เหมาะกับค่ากำลังวัดอัตโนมัติ



การใช้งานมัลติเตอร์
   มัลติมิเตอร์ดิจิตอลราคาถูกซึ่งไม่มี ฟังก์ชั่น Auto Range ต้องปรับย่านวัดให้เหมาะกับค่าที่กำลังวัดเอง


เข้าใจการต่อสายวัดเพื่อวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ
การวัดแรงดันไฟฟ้าต้องวัดแบบขนานหรือวัดคร่อมจุดที่วัด จะใช้วงจรง่ายๆเพื่อทำความเข้าใจ  ยกตัวอย่างในรูป  จุดที่ต้องการจะวัดแรงดันไฟฟ้าคือจุด A และ  B   ให้ใช้สายวัดแตะคร่อมจุดที่ต้องการจะวัด  ไฟฟ้ากระแสสลับ ( Vac  ) ไม่มีขั้วจึงไม่ต้องคำนึงถึงขั้ว  จะต่อสายวัดสีอะไรกับข้างไหนหรือสลับสายวัดก็ได้





การใช้มิเตอร์ดิจิตอล
วงจรง่ายๆ เพื่อทำความเข้าใจการวัดแรงดันไฟฟ้า Vac



ขั้นตอนการวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสสลับ (Vac ) ด้วยมิเตอร์ดิจิตอล

1.  ต่อสายวัดสีแดงเข้ากับช่อง VΩmAuA   และสายวัดสีดำเข้ากับช่อง   COM
2.  ปรับย่านวัดไปที่ย่านวัดแรงดันไฟ  Vac   เช็คให้แน่ใจอีกรอบว่าได้ปรับไปที่ย่านวัด Vac  เรียบร้อยแล้วเพราะถ้าตั้งย่านวัดผิดมิเตอร์จะพัง


การใช้มัลติมิเตอร์

   ต่อสายวัดให้ถูกต้องและปรับย่านวัดไปที่  Vac    เช็คให้แน่ใจก่อนวัดว่าได้ปรับไปที่ Vac แล้ว




การใช้มัลติมิเตอร์

    มิเตอร์อีกรุ่น  ปรับย่านวัดไปที่ย่านวัดแรงดันไฟ  Vac   


3.  ปรับย่านวัดให้สูงกว่าค่าที่จะวัด เช่น จะวัดไฟ 220Vac ให้ปรับไปที่ย่านวัด 600Vac   ถ้าต้องการวัดไฟ 24Vac  ให้ปรับไปที่ย่านวัด 200Vac   เป็นต้น กรณีเป็นมิเตอร์ที่มีฟังก์ชั่น Auto  Range ปรับไปที่ย่านวัด Vac ครั้งเดียวจากนั้นมิเตอร์จะปรับย่านวัดให้อัตโนมัติ
4.  กรณีไม่ทราบค่าแรงดันแรงไฟฟ้าจุดที่ต้องการวัด   ให้ปรับไปที่ย่านวัดสูงสุดที่มิเตอร์มี คือ 600Vac แล้วค่อยปรับย่านวัดลงมาให้ใกล้ค่าที่กำลังวัดอยู่ ( ต้องสูงกว่าค่าที่กำลังวัด )
5.  ห้ามใช้มิเตอร์วัดแรงดันไฟสูงเกินลิมิตสเปคของมัลติมิเตอร์  ลิมิตสเปคจะพิมพ์ไว้ที่ตัวมิเตอร์  เช่น 600Vac  Max


การใช้มัลติมิเตอร์
    สาธิตการวัดแรงดันไฟบ้าน  220Vac   ต้องได้ค่าใกล้เคียง 220Vac คือไฟมาปกติ


6. การวัดแรงดันไฟฟ้าต้องใช้ความระมัดระวังโดยเฉพาะแรงดันไฟ   30Vac  rms และ 60VDC ขึ้นไป เนื่องจากแรงดันไฟฟ้าขนาดนี้มีอันตราย
7. ขณะทำการวัดอย่าจับปลายสายวัดตรงที่เป็นโลหะเด็ดขาด  ให้จับตรงบริเวณที่เป็นฉนวนซึ่งมีแนวกั้นมือ
8.  อย่าปรับโหมดฟังก์ชั่นการวัดขณะทำการวัดแรงดันอยู่  เช่น กำลังต่อสายวัดแรงดันไฟ  Vac อยู่  ห้ามปรับไปที่ย่านวัดตัวต้านทาน หรือย่านวัดอื่นๆเด็ดขาด ( มิเตอร์จะพัง)  กรณีต้องการเปลี่ยนโหมดฟังก์ชั่นการวัดต้องถอดสายวัดออกจากจุดวัดก่อนทุกครั้ง แล้วจึงค่อยเปลี่ยนโหมดฟังก์ชั่นการวัดและต่อสายวัดใหม่


การใช้มัลติมิเตอร์




การใช้มัลติมิเตอร์ดิจิตอลวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง VDC

มัลติมิเตอร์ดิจิตอลที่ใช้งานในตลาดมีแบบราคาถูกซึ่งไม่มีฟังก์ชั่นปรับย่านวัดอัตโนมัติและแบบราคาหลายร้อยจะมีฟังก์ชั่นปรับย่านวัดอัตโนมัติ ( Auto Range )  แนะนำให้ใช้แบบมี Auto Range เนื่องจากใช้งานง่ายที่สุดไม่ต้องปรับย่านวัดหลายรอบ  การวัดแรงดันไฟฟ้ากระแสตรง   VDC  ต้องต่อสายวัดให้ถูกขั้วเนื่องจากไฟฟ้ากระแสตรงมีขั้ว +  -    ข้อดีของมัลติมิเตอร์ดิจิตอลคือกรณีต่อสายวัดผิดขั้วมันจะแจ้งเตือนให้ทราบว่ากำลังต่อผิดขั้วอยู่และกรณีปรับย่านวัดต่ำไปไม่เหมาะกับค่าที่กำลังวัดอยู่มันก็จะแจ้งเตือนเป็น Over  Range  ต้องปรับย่านวัดให้สูงขึ้น    ให้อ่านข้อมูลต่อไปนี้ให้ครบจะได้ทำการวัดได้อย่างปลอดภัยและถูกต้องตามหลัก


มัลติมิเตอร์ดิจิตอล  Digital Multimeter
    มัลติมิเตอร์ดิจิตอลราคาหลายร้อยมีฟังก์ชั่น  Auto Range  ไม่ต้องปรับย่านวัดบ่อย  


มัลติมิเตอร์ดิจิตอล  Digital Multimeter
   มัลติมิเตอร์ดิจิตอลราคาถูก ไม่มีฟังก์ชั่น Auto Range  ต้องปรับย่านวัดบ่อย  


ทำความเข้าใจก่อนวัดแรงดันไฟ VDC

การวัดแรงดันไฟ VDC ต้องต่อแบบขนานแล้วต่อแบบขนานเป็นอย่างไร  ?  และไฟ VDC มีขั้ว +  - ต้องต่อให้ถูกขั้ว  การวัดแบบขนานคือการต่อคร่อมจุดที่จะวัด  ดูรูปประกอบ   จุดที่ต้องการจะวัดคือจุด A และ B  ให้ดูขั้ว +  -   ก่อนวัด    ให้นำสายวัดสีแดงแตะที่จุด A มีขั้ว +  และนำสายวัดสีดำแตะที่จุด B ขั้ว -  จะสังเกตว่าสายวัดจะคร่อมจุดที่ต้องการวัด

การใช้มัลติมิเตอร์
       รูปใช้ทำความเข้าใจการวัดแรงดันไฟ  VDC  ต่อแบบขนาน( ต่อคร่อม )



ขั้นตอนการวัดแรงดันไฟ  VDC   ด้วยมัลติมิเตอร์ดิจิตอล
1.  เสียบสายวัดสีแดงเข้ากับช่อง VΩmA   และสายวัดสีดำเข้ากับช่อง COM
2.  ปรับย่านวัดไปที่ย่านวัด  VDC 
3.  ปรับย่านวัดให้สูงกว่าค่าที่จะวัด เช่น  จะวัดไฟ 9VDC ให้ปรับไปที่ย่านวัด 20V  กรณีจะวัดไฟ 24VDC ให้ปรับไปที่ย่านวัด  200V   เป็นต้น ถ้าเป็นมิเตอร์ที่มีฟังก์ชั่น Auto Range ปรับไปที่ย่านวัด VDC ครั้งเดียว
4.  กรณีไม่ทราบค่าแรงดันแรงไฟฟ้าจุดที่จะวัด  ให้ปรับไปที่ย่านวัดสูงสุดที่มิเตอร์มี คือ 600VDC  ( บางรุ่น 1000VDC )  แล้วค่อยปรับย่านวัดต่ำลงมาใกล้ค่าที่กำลังวัดอยู่ ( ต้องสูงกว่าค่าที่กำลังวัดด้วย )


การใช้มัลติมิเตอร์

   เสียบสายวัดให้ถูกช่องกับโหมดฟังก์ชั่นที่จะวัด  วัดแรงดันไฟ VDC  เสียบสายวัดสีแดงเข้าช่อง VΩmA และสายวัดสีดำเข้ากับช่อง COM 

   
การใช้มัลติมิเตอร์
   ก่อนวัดเช็คให้แน่ใจว่าได้ปรับย่านวัดถูกต้องแล้ว เพราะถ้าปรับย่านวัดผิดมิเตอร์จะพัง  ตามรูปนี้วัดแรงดันไฟ VDC   ปรับไปที่  VDC  คือถูกต้องแล้ว



การใช้มัลติมิเตอร์
   ต่อสายวัดให้ถูกขั้ว  สายวัดสีแดงต่อกับขั้ว +     และ สายวัดสีดำเข้ากับขั้ว -  


การใช้มัลติมิเตอร์

    ต่อสายวัดให้ถูกขั้ว  สายวัดสีแดงต่อกับขั้ว +     และ สายวัดสีดำเข้ากับขั้ว -


5.  ห้ามใช้มิเตอร์วัดแรงดันไฟสูงเกินลิมิตสเปคของมัลติมิเตอร์ ลิมิตสเปคจะพิมพ์ไว้ที่ตัวมิเตอร์เช่น 600VDC Max  
6.  กรณีต่อสายวัดผิดขั้ว  มิเตอร์จะแจ้งให้ทราบว่ากำลังต่อผิดขั้วอยู่ ให้สลับสายวัดให้ถูกต้อง
7.  กรณีใช้ย่านวัดค่าต่ำไป  มิเตอร์จะแจ้งว่า Over   Ragne ให้ปรับย่านวัดให้สูงขึ้น
8.  ให้หาข้อมูลก่อนวัดว่าจุดที่จะวัดมีไฟกี่โวลต์ ?   จะได้เลือกย่านวัดได้เหมาะสม  อาจดูแรงดันไฟจากป้าย  คำนวณตามกฏของโอห์ม V = IR   หรือ  หรือการทำงานของวงจร
9. การวัดแรงดันไฟฟ้าต้องต่อแบบขนานเท่านั้น และ  เช็คให้แน่ใจว่าได้ตั้งย่านวัด VDC  ถูกต้องแล้วก่อนวัด เนื่องจากถ้าตั้งย่านวัดผิด มิเตอร์จะพังและอาจมีอันตรายจากการวัดนั้นๆ
10.  อย่าปรับโหมดฟังก์ชั่นการวัดขณะทำการวัดแรงดัน  เช่น กำลังต่อสายวัดแรงดันไฟ  VDC อยู่  ห้ามปรับไปที่ย่านวัดตัวต้านทาน หรือย่านวัดอื่นๆเด็ดขาด ( มิเตอร์จะพัง)  กรณีต้องการเปลี่ยนโหมดฟังก์ชั่นการวัดต้องถอดสายวัดออกจากจุดวัดก่อนทุกครั้ง
11. การวัดแรงดันไฟฟ้าต้องใช้ความระมัดระวังโดยเฉพาะแรงดันไฟ 30VAC rms และ 60VDC ขึ้นไป เนื่องจากแรงดันไฟฟ้าขนาดนี้มีอันตราย
12.  การวัดแรงดันไฟฟที่ปลอดภัยคือ ให้แตะสายวัดสีดำก่อนจากนั้นค่อยแตะสายมีไฟ(สีแดง)ตามมา  และลำดับการถอดสายวัดคือให้เอาสายสีแดงออกก่อน(มีไฟ)  และตามด้วยถอดสายวัดสีดำ  ขณะทำการวัดอย่าจับปลายสายวัดตรงที่เป็นโหละเด็ดขาดให้ตรงบริเวณที่เป็นฉนวนและมีแนวกั้นมือ




การใช้มัลติมิเตอร์
   สาธิตการต่อสายวัดผิดขั้ว  มิเตอร์จะแสดงขั้ว - ที่หน้อจอ  ให้สลับสายวัดให้ถูกต้อง 



การใช้มัลติมิเตอร์
   สาธิตการใช้ย่านวัดต่ำไปมิเตอร์จะแสดง  Over Range  (1)   เช่น  วัดไฟ 9VDC แต่ตั้งย่านวัดต่ำไป 2V  ให้ปรับย่านวัดให้สูงขึ้น (  20V กรณีจะวัดไฟ 9VDC  )



  ขณะทำการวัดอย่าจับปลายสายวัดตรงที่เป็นโลหะเด็ดขาด ให้จับบริเวณที่เป็นฉนวนและมีแนวกั้นมือ



วิธีใช้มัลติมิเตอร์แบบเข็มและแบบดิจิตอลวัดถ่าน แบตเตอรี่ AA AAA 1.5V และ 9V

ถ่านขนาดมาตรฐาน   AA  AAA  1.5V   และ   9V
                                 ถ่าน Size   มาตรฐาน   AA  AAA  1.5V   และ   9V  


ย่านวัดของมัลติมิเตอร์ที่ใช้สำหรับวัดถ่านหรือแบตเตอรี่ 1.5V และ 9V โดยเฉพาะคือย่านวัด  BATT   1.5V  9V  (ดูรูปด้านล่างประกอบ )  จะแสดงวิธีใช้มัลติมิเตอร์แบบเข็มและมัลติมิเตอร์แบบดิจิตอลวัดถ่าน  ย่านวัด  BATT  แตกต่างจากการใช้ย่านวัด VDC  อย่างไร  ?     ย่านวัด BATT  นั้นจะแตกต่างจากย่านวัด VDC  โดยย่านวัด BATT จะมีตัวต้านทานโหลดค่าไม่สูง เช่น  30 Ohm  เพื่อให้แบตเตอรี่ปล่อยกระแสผ่าน R นี้  แล้วนำแรงดันที่ตกคร่อม R นี้ใช้บอกสถานะของแบตเตอรี่ว่า ดี อ่อน หรือหมดไฟ ซึ่งเป็นการวัดถ่านแบบมีโหลดและเป็นการวัดการจ่ายกระแสของแบตเตอรี่จริงๆ   ส่วนย่านวัด VDC  นั้นมีค่าอินพุตอิมพีแดนซ์สูงมาก (20KΩ/V) ค่าความต้านทานสูงมากขนาดนี้กระแสของแบตเตอรี่ไม่ไหลจึงเปรียบเหมือนเป็นการวัดแบตเตอรี่ขณะที่ไม่มีโหลดซึ่งผลการวัดอาจแสดงแรงดันไฟว่ายังดีอยู่โดยที่จริงๆแล้วแบตเตอรี่จ่ายกระแสได้ต่ำแล้ว  อย่างไรก็ตามมัลติมิเตอร์บางรุ่นไม่มีย่านวัด BATT โดยเฉพาะก็สามารถย่านวัด VDC วัดได้ระดับหนึ่งแต่ผลการวัดจะไม่ใช่การวัดสภาพของแบตเตอรี่ที่แท้จริง ( คือผลการวัดมีความคลาดเคลื่อน )   สำคัญมาก ห้ามใช้ย่านวัดกระแส  DC mA หรือ  DC A  วัดกระแสแบตเตอรี่เด็ดขาดเนื่องจากย่านวัดกระแสนั้นเป็นการวัดแบบอนุกรมมัลติมิเตอร์จะพังถ้านำไปวัดถ่าน     การวัดแรงดันของแบตเตอรี่ต้องวัดแบบขนานเท่านั้น  ย่านวัด  BATT   1.5V  และ 9V ใช้สำหรับวัดถ่านขนาดมาตรฐานคือ    AA  AAA   1.5V  และ 9V เท่านั้น  ส่วนการวัดถ่านแบบกระดุม( Coin cell )  ให้ใช้ย่านวัด VDC วัดแทน  มัลติมิเตอร์ไม่สามารถใช้วัดค่าความจุของแบตเตอรี่ได้ ( Capacity ) คือไม่สามารถใช้วัดค่า  mAH    AH  ของแบตเตอรี่  ค่าความจุของแบตเตอรี่นั้นเป็นการบอกความสามารถในการจ่ายกระแสของแบตเตอรี่ใน 1 ชั่วโมง    เช่น  2 AH  มีความหมายว่าถ้าโหลดใช้กระแส   2A จะใช้ไฟได้ 1 ชั่วโมง ถ้าโหลดใช้ไฟน้อยกว่านี้ระยะเวลาใช้งานก็จะยาวนานขึ้น




วิธีใช้มัลติมิเตอร์
   ย่านวัด  BATT    1.5V   และ   9V  ใช้วัดถ่านขนาดมาตรฐาน AA   AAA  1.5V และ   9V


วิธีใช้มัลติมิเตอร์ วัดถ่าน แบตเตอรี่
    สเกลแสดงสภาพของแบตเตอรี่   1.5V  และ  9V  


ขั้นตอนการวัดถ่าน 1.5V   9V ด้วยมัลติมิเตอร์แบบเข็ม
1. เสียบสายวัดสีแดงเข้ากับช่อง  +  และสายวัดสีดำเข้ากับช่อง  - COM 
2. ปรับไปที่ย่านวัด BATT ถ้าถ่าน Size  AA  AAA  1.5V  ใช้ย่านวัด 1.5V  ถ้าถ่าน 9V ใช้ย่านวัด 9V
3. ต่อสายวัดให้ถูกขั้ว โดยสายวัดสีแดงแตะขั้ว + ของแบตเตอรี่และสายวัดสีดำแตะขั้ว - ของแบตเตอรี่
4. อ่านผลการวัดดังนี้

     -  เข็มชี้บริเวณ GOOD    หมายถึงแบตเตอรี่มีสภาพดี
     -  เข็มชี้บริเวณ   ?            หมายถึงแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมสภาพ อุปกรณ์ใช้กระแสไฟน้อยเช่น  นาฬิกา        สามารถใช้ต่อได้อีกระยะ 
     -   เข็มชี้บริเวณ  BAD     หมายถึงแบตเตอรี่หมดไฟและเสื่อมสภาพแล้ว   ได้เวลาเปลี่ยนถ่าน

         
วัดถ่านแบตเตอรี่  AA  AAA  1.5V   9V




ขั้นตอนการวัดถ่าน 1.5V  9V ด้วยมัลติมิเตอร์แบบดิจิตอล
มัลติมิเตอร์แบบดิจิตอลที่มีย่านวัด   BAT  T เช่น   UNI-T   รุ่น  UT33B+  จะใช้รุ่นนี้ยกเป็นตัวอย่าง  มิเตอร์รุ่นนี้จะใช้ตัวต้านทานโหลด  30 Ohm สำหรับย่านวัด 1.5V   ใช้  900 Ohm สำหรับย่านวัด 9V  และ ใช้  ุ60 Ohm สำหรับย่านวัด 12V    มัลติมิเตอร์รุ่น  UNI-T UT33B+  นี้มีย่านวัดแบตเตอรี่  1.5V   9V และ  12V

1.  เสียบสายวัดสีแดงเข้ากับช่อง VΩmAuA    และสายวัดสีดำเข้ากับช่อง   COM 
2.  ปรับไปที่ย่านวัด BATT ถ้าถ่าน Size  AA  AAA  1.5V  ใช้ย่านวัด 1.5V  ถ้าถ่าน 9V ใช้ย่านวัด 9V
3.  ต่อสายวัดให้ถูกขั้ว โดยสายวัดสีแดงแตะขั้ว + ของแบตเตอรี่  สายวัดสีดำแตะขั้ว - ของแบตเตอรี่
4.  อ่านผลการวัดที่หน้าจอดังนี้
     สำหรับวัดแบต  1.5V
     -   ค่า   ≥   1.31V               =   Good   สภาพดี
     -   ค่า   0.95V -  1.31V      =   Low     เริ่มหมด / เริ่มไฟอ่อนอุปกรณ์กินกระแสไฟน้อยยังคงทำงานได้
     -   ค่า   ≤  0.95V                =   BAD   หมดไฟแล้วต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่

     สำหรับวัดแบต  9V
    -   ค่า   ≥   7.8 V              =   Good   สภาพดี
    -   ค่า  5.7V -  7.7V         =   Low     เริ่มหมด / เริ่มไฟอ่อน 
    -   ค่า   ≤  5.6V                =   BAD   หมดไฟแล้วต้องเปลียนแบตเตอรี่

    สำหรับแบต  12V
    -   ค่า  ≥    10.5 V             =   Good   สภาพดี
    -   ค่า  7.6V -  10.4V        =   Low    เริ่มหมด / เริ่มไฟอ่อน 
    -   ค่า  ≤  7.5V                 =   BAD    หมดไฟแล้ว    ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่




มอสเฟตเบอร์ต่างๆและเบอร์ของทรานซิสเตอร์พร้อมวิธีสังเกตชนิดอุปกรณ์

การทราบชนิดของอุปกรณ์ช่วยให้เราเลือกวิธีเช็คดีเสียได้ถูกต้องและสามารถคาดคะเนการทำงานของวงจรเบื้องต้นได้ด้วย  มอสเฟตเบอร์ต่างๆและเบอร์ทรานซิสเตอร์แสดงไว้ด้านล่างสุด  เบอร์ของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถแบ่งออกเป็น  4  กลุ่มใหญ่ ๆ    ดังนี้                                                              

1)   เบอร์ตามมาตรฐาน JIS   ของญี่ปุ่น   ลักษณะเบอร์    

2SA    เป็นทรานซิสเตอร์ BJT   ชนิด PNP    ใช้งานความถี่สูง

2SB    เป็นทรานซิสเตอร์ BJT   ชนิด PNP    ใช้งานความถี่เสียง

2SC   เป็นทรานซิสเตอร์ BJT    ชนิด  NPN   ใช้งานความถี่สูง

2SD   เป็นทรานซิสเตอร์ BJT    ชนิด  NPN   ใช้งานความถี่เสียง

2SJ    เป็นได้ทั้ง JFET และ MOSFET   ชนิด  P Channel 

2SK   เป็นได้ทั้ง JFET และ MOSFET   ชนิด  N Channel 

ที่ตัวอุปกรณ์จริงจะเขียนรหัสย่อหรือ Marking สั้นๆ เช่น   D2499 = เบอร์  2SD2499  ,   D526  =  2SD526  ,  C5200  = เบอร์  2SC5200 ,      A1943 = เบอร์  2SA1943    ,  C5587  = เบอร์ 2SC5587  ,    C4793  = เบอร์   2SC4793 , K2221   =  เบอร์ 2SK2221   ,  J352 = เบอร์  2SJ352  เป็นต้น


มอสเฟต ทรานซิสเตอร์ เบอร์ต่างๆ  ທຣານສິດເຕີ


2)   เบอร์ตามมาตรฐาน American  JEDEC   ลักษณะเบอร์จะขึ้นต้นด้วย 2N   ตัวเลขเบอร์ค่าน้อยมีแนวโน้มจะเป็นวัสดุชนิดเจอรมันเนียม ( Geramnium )  เช่น  เบอร์ 2N1301 เป็นทรานซิสเตอร์ชนิด PNP วัสดุชนิดเจอรมันเนียม   เบอร์  2N3055  เป็นพาวเวอร์ทรานซิสเตอร์  NPN  วัสดุชนิดซิลิคอน ( Silicon )  ตัวอักษร A ต่อท้ายหมายถึงเบอร์ใหม่ที่มีการปรับปรุงสเปค

1N   เป็นอุปกรณ์มี 2 ขา  เช่น   ไดโอดเบอร์    1N4002   1N4004   1N4007  เป็นต้น

2N   เป็นอุปกรณ์ที่มี 3 ขา เช่น  ทรานซิสเตอร์ หรือ FET ที่มี 3 ขาก็ได้  เช่น  2N3055 เป็นทรานซิสเตอร์

3N   เป็นอุปกรณ์ที่มี 4 ขา   เช่น FET แบบ Dual เกต


3)  เบอร์ตามมาตรฐาน European  EECA    ตัวอย่างเบอร์ เช่น  BC548  BD139  AD133  BU2520A  ลักษณะเบอร์จะขึ้นต้นด้วยตัวอักษร 2 ตัว  ตัวอักษรตัวแรกมีความหมายถึงชนิดวัสดุ  A เป็นเจอรมันเนียม ,  B เป็นซิลิคอน และ C เป็น Gallium Arsenide (GaAs)  ตัวอักษรที่ 2 หมายถึงประเภทการใช้งาน เช่น  A = ไดโอด  ,  C =  ทรานซิสเตอร์ใช้งานทั่วไป   ตัวอักษร2 ตัวนั้นจะตามด้วยตัวเลข 3 ตัว    และตามด้วยตัวอักษรหรือตัวเลขต่อท้ายอีกหมายถึงตัวถัง(เคส)ของอุปกรณ์ หรือหมายถึงเกนอัตราขยาย hFE เช่น BC327-25 หรืออาจหมายถึงพิกัดทนแรงดันซึ่งขึ้นอยู่กับเบอร์  ยกตัวอย่างความหมายของเบอร์ตามมาตรฐาน   European EECA  นี้

AD133  เป็น   Power  Transistor   ใช้งานความถี่เสียง   วัสดุชนิดเจอรมันเนียม

BD139   เป็น  Power  Transistor   วัสดุชนิดซิลิคอน

BF245  เป็น ทรานซิสเตอร์ใช้งานความถี่สูง RF   วัสดุชนิด ซิลิคอน

ลักษณะเบอร์ตามมาตรฐาน European  EECA  นี้จะขึ้นต้นด้วย  AC  AD  AF  AL  AS   AU  BC BD BF BS BL  CF CL  เป็นต้น

4)  เบอร์เฉพาะของโรงงาน  คือเบอร์ที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐาน 3 ข้อข้างต้น   โรงงานมีวิธีการระบุเบอร์ตามแบบของโรงงานเอง  เป็นอุปกรณ์ที่ผลิตขึ้นมาเฉพาะและเป็นลิขสิทธ์ของโรงงาน  อุปกรณ์เบอร์เหล่านี้อาจมี Datasheet ให้เช็คสเปคหรือไม่มี Datasheet ก็ได้เนื่องจากเป็นความลับทางการค้า    ให้อ้างอิงข้อมูลจากผู้ผลิต  

Note : ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงและเรียบเรียงมาจาก  Wikipedia   สามารถอ่านเพิ่มได้ที่  

https://en.wikipedia.org/wiki/Transistor

  

สัญลักษณ์มอสเฟต  D MOSFET

สัญลักษณ์มอสเฟต  D   MOSFET


มอสเฟตเบอร์ต่างๆ  ให้สังเกตว่าเบอร์มอสเฟตจะขึ้นต้นด้วย  IRF   RFC  RCX   FQP   FCP   STP  SJK  2SK  เป็นต้น

VN2222LL-G  0.23A  60V   Id = 0.23A  , 60V= BVDSS =  Drain-to-source breakdown voltage  

IRF610PBF    3.3A   200V
R6004ENX     4A      600V
IRF830PBF    4.5A   500V
R8005ANX      5A     800V
IRF730PBF     5.5A  400V
IRL510PBF     5.6A  100V
IRF510PBF     5.6A  100V
2SJ350            6A     120V
FQP7N80C     6.6A   800V 
R6007ENX      7A      600V 
R5007ANX      7A      500V 
2SJ654            8A     100V
R8008ANX      8A      800V
IRF840PBF     8A           500V
FQP9N50C         9.0A    500V
R6009ENX          9A       600V 
IRF740PBF         10A     400V
R6011ENX          11A     600V
IRF9640PBF       11A     200V
IRFP450PBF      14A     500V
RCX160N20        16A    200V
IRFZ24NPBF      17A     55V
IRLU024NPBF    17A     55V
IRF530NPBF       17A    100V
IRF640NPBF       18A     200V 
FCP20N60         20A     600V
FCP20N60-T      20A     600V 
IRFP460PBF      20A     500V
2SJ649-AZ         20A     60V
FDP22N50N       22A     500V
RCX220N25       22A    250V
IRF9540NPBF    23A    100V
R6024ENX         24A     600V
2SJ652-RA11     28A     60V
IRFP250NPBF   30A     200V
R6030ENX         30A     600V
IRF5305PBF      31A     55V
SCT3080KLGC11    31A    1200V
IRF540NPBF           33A    100V
RCX330N25             33A    250V
IRFP264PBF           38A     250V
IRFP150NPBF         42A    100V
IRF3415PBF            43A    150V
IRFP4229PBF         44A     300V
RCX450N20             45A    200V
R6047ENZ1C9         47A    600V
FDA50N50               48A     500V 
IRFZ44NPBF           49A     55V
STP55NF06             50A     60V 
RFP50N06_NL         50A     60V 
RCX511N25             51A     250V 
HUF75639P3_NL     56A    100V  
IRF3710PBF            57A    100V
IRFP4332PBF         57A     250V 
IRFP3710PBF         57A     100V
STP65NF06             60A     60V
STY60NK30Z          60A     300V
RFP70N06_NL        70A     60V 
RCX700N20            70A     200V
IRFP4710PBF         72A     100V
IRF4905PBF           74A     55V
R6076ENZ1C9        76A     600V  
STP80NF55-08       80A      55V
IRF2807PBF           82A      75V
STP100N6F7          100A    60V
IRF3205PBF           110A     55V 
IRFP064NPBF        110A     55V
IRL2203NPBF         116A    30V
TK58E06N1,S1X(S    105A     60V
STP200NF04             120A     40V
STP105N3LL             150A     30V
RX1G18BGN             180A     40V
IRFB7534PBF            195A     60V  
IRFP2907PBF           209A      75V


สัญลักษณ์ทรานซิสเตอร์  NPN  PNP

สัญลักษณ์ของทรานซิสเตอร์ชนิด  NPN  และ    PNP


ทรานซิสเตอร์เบอร์ต่างๆ  สังเกตว่าเบอร์ทรานซิสเตอร์ BJT จะขึ้นต้นด้วย 2SA  2SB  2SC  2SD   TIP  BC  BD   KSC  KSD  KTA KTD    MJ   เป็นต้น

KSC1845FTA     50mA  120V
KSA992FBU      50mA  120V
2SC458             Ic=100mA     Vceo =  30V
2SA733Q            0.1A      50V
BC546BTA           0.1A     65V
BC556BTA           0.1A     65V
KRC102-AT/P      0.1A     50V
BC557BTA           0.1A     45V
BC548B-AT/P      0.1A     30V
BC547B-AT/P       0.1A    45V
BC546B-KEC/P    0.1A    65V
BC549B-KEC/P    0.1A    30V
BC557B-KEC/P    0.1A    45V
BC548C-KEC/P    0.1A   30V
BC558B-KEC/P    0.1A    30V
KSP10TA              0.1A    25V
BC547BTA            0.1A    45V
KSC945CGTA           0.15A    50V
KTC3199Y-AT/P        0.15A    50V
KTA1266GR-AT/P     0.15A    50V
KTC3198GR-AT/P     0.15A   50V
2N3906TA                 0.2A      40V
2N3904TA                 0.2A     40V
KSP94TA                  0.3A      400V
KTD1302-AT/P          0.3A      20V
KTA1274Y-AT/P        0.4A      80V
KSP42TA                  0.5A      300V
MPSA56RLRAG       0.5A      80V  
MPSA42-AT/P          0.5A      300V
KTA1270Y-AT/P        0.5A      30V
KSP92TA                  0.5A      300V
KSP13TA                  0.5A      30V
MPSA42                   0.5A      300V
KTC9012G               0.5A      30V
MJE340G                 0.5A      300V
MJE350G                 0.5A      300V
2N4401TA                0.6A      40V
2N4403TA                0.6A      40V
2N5401YTA             0.6A      150V
PN2222AL-UTC      0.6A       40V
2N5550TA                0.6A      140V
PN2907ATA             0.8A      60V
BC32740TA             0.8A       45V
BC33740TA             0.8A      45V
KRC245-AT/P          0.8A      15V
KTA1023Y-AT/P       0.8A      120V
BC32725TA              0.8A     45V
BC33725TA             0.8A      45V
KRC246-AT/P          0.8A      50V
KSD471AGTA        1A        30V
PN2222ATA           1A        40V
KSD1616ALTA       1A        60V
BD139                    1.5A     80V
ST13003-K            1.5A     400V
BD140                    5A       80V
KTA1273Y-AT/P           2A    30V
KTA1281-Y-AT/P          2A    50V
2SD313L                      3A    60V
2SD882L-P-T60-K       3A    30V
2SD882SL-P-T92-K     3A    30V
TIP32C                         3A    100V
TIP31C                        3A     100V
KTD2058-Y-U/P           3A     60V
MJE182G              3A    80V
KTD882Y/P           3A    30V
KSB772YSTU       3A    30V  
ST13005A             4A    400V
STL128DN            4A    400V
MJE15034G          4A    350V
MJE15035G          4A    350V
MJE13005DF-O-U/PF   4A    400V
TIP127                           5A    100V
TIP122                           5A    100V
KSD1691YSTU              5A    60V
TIP41C                 6A   100V
TIP42C                 6A   100V
TIP42CG              6A   100V
TIP41CTU            6A   100V
TIP42CTU            6A   100V
KSC2334YTU     7A    100V
ST13007D          8A     400V
MJE15032G       8A     250V
MJE15033G       8A     250V
MJE5852G         8A     400V
MJE13007G       8A     400V
MJE2955T         10A    60V
MJE3055T         10A    60V
TIP142               10A   100V
KTB688-O/P      10A    120V
KTD718-O/P     10A    120V
KTB817Y/P       12A    140V
KTD1047-Y-U/P    12A      140V
FJL4215OTU        13A      230V
 FJL4315OTU       15A       230V
KTA1962A-O-U/P   15A     230V
KTA1943-O-U/PC   15A     230V
2SA1492P              15A     180V
TIP2955                  15A       60V
TIP3055                  15A       60V
2SA1987-O(Q)        15A       230V
2SC5359-O(Q)       15A       230V
KTC5242A-O/P       15A      230V
MJW21195G           16A      250V
MJW21196G           16A      250V
MJL21195G            16A      250V
MJL21196G            16A      250V
TIP35C                    25A     100V
TIP36C                    25A     100V